พัฒนาการอุลูม อัลกุรอาน ของ อุลูม_อัลหะดีษ

พัฒนาการอุลูม อัลหะดีษได้ดำเนินการกันมาโดยผ่านหลายยุคสมัยด้วยกัน ซึ่งสามารถจะอธิบายโดยสังเขปดังนี้

เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ทั้งสมัยมักกะฮฺ (13 ปี) และสมัยมะดีนะฮฺ (10 ปี) มีการถ่ายทอดหะดีษไปยังเศาะหาบะฮฺด้วยวิธีการถ่ายทอดโดยตรง กล่าวคือ เศาะหาบะฮฺรับหะดีษจากท่านนบี (ซ.ล.) หรือเศาะหาบะฮฺรับจากเศาะหาบะฮฺกันเอง ผู้ที่รับหะดีษแต่ละท่านจะทำการบันทึกไว้โดยการท่องจำแบบถึงใจ เว้นแต่บางคนเท่านั้นที่อนุญาตให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร การถ่ายทอดโดยผู้คนที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ได้ดำเนินจนถึงปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 10

ในช่วงสมัยของเศาะหาบะฮฺ (ปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 10 จนถึงปี 110) ประกอบด้วยคุละฟาอ์ รอชิดีน เศาะหาบะฮฺรุ่นอาวุโสและเศาะหาบะฮฺรุ่นเล็ก ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดหะดีษด้วยความ อะมานะฮฺและมีคุณธรรม โดยการถ่ายทอดหะดีษตามที่ได้รับจากท่านนบี (ซ.ล.) ไม่มีการเพิ่มเติมหรือตัดตอนตัวบทหะดีษแม้แต่คำเดียว บรรดาเป็นผู้ที่คุณธรรมและสัจจะไม่มีผู้ใดที่กล้าโกหกต่อหะดีษแม้แต่คนเดียวดังการยืนยันของอะนัส เบ็น มาลิก (ซ.ล.) การถ่ายทอดหะดีษในช่วงนี้เป็นการถ่ายทอดหะดีษไปยังเศาะหาบะฮฺด้วยกันหรือไปยังรุ่นตาบิอีน โดยมีการกล่าวสายสืบของหะดีษด้วย การถ่ายทอดในลักษณะนี้เรียกว่า การรายงานหะดีษ

ในช่วงสมัยของตาบิอีน (ปีที่ 97 ฮ.ศ. จนถึงปีที่ 182 ฮ.ศ.) ช่วงแรกของการถ่ายทอด หะดีษได้ดำเนินการเหมือนกับสมัยเศาะหาบะฮฺ จนถึงในช่วงกลางของรุ่นตาบิอีนเริ่มมีการสืบสายรายงานหะดีษโดยมุฮัมมัด เบ็น ชิฮาบ อัซซุฮรีย์ (เสียชีวิตในปีที่ 124 ฮ.ศ.) มีการติดตามสายรายงานของหะดีษแต่ละบท กระบวนการรายงานของผู้รายงานแต่ละคน เช่น ศึกษาวิธีการรับหะดีษ การร่วมสมัยระหว่างผู้ถ่ายทอดกับผู้รับหะดีษ สืบต้นต่อที่มาของหะดีษ เป็นต้น การปฏิบัติของอิมาม อัซซุฮรีย์เป็นพื้นฐานสำหรับบรรดาอุละมาอ์ที่ร่วมสมัยและที่มาหลังจากท่านสำหรับการศึกษาเกี่ยวกับการรายงานและในที่สุดผลการศึกษากลายเป็นแขนงวิชาด้านหะดีษ

ในช่วงสมัยของตาบิอฺ ตาบิอีน (ปีที่ 182 ฮ.ศ. จนถึงปีที่ 224 ฮ.ศ.) ได้พยายามศึกษาเพิ่มเติมในอีกสองด้านหลัก ได้แก่ ศึกษาเกียวกับสถานภาพของผู้รายงานด้านคุณธรรมและด้านความบกพร่อง ปีเกิดและปีเสียชีวิต สถานที่เกิดและสถานที่เสียชีวิต ครูและลูกศิษย์ และมารยาทของนักรายงานหะดีษ ผลของการศึกษาในลักษณะนี้ทำให้เกิดวิชาการหะดีษที่เรียกว่า วิชาริญาล อัลหะดีษ และศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพของตัวบทหะดีษ เช่น ตัวบทหะดีษขัดแย้งกับอัลกุรอานหรือไม ตัวบทหะดีษมีการปะปนกับคำอธิบายของผู้รายงานหรือไม ความหมายของหะดีษสามารถยอมรับเป็นของท่านนบี (ซ.ล.) ได้หรือไม หลักพื้นฐานด้านนี้ทำให้สามารถแยกระหว่างหะดีษเศาะหีหฺกับหะดีษเฎาะอีฟและหะดีษเมาฎูอฺ วิชาการด้านหะดีษเริ่มแตกแขนงอย่างมากมายออกเป็นสาขาวิชาเฉพาะด้าน อย่างไรก็ตาม วิชาการที่เกี่ยวกับหะดีษในช่วงสมัยนี้ยังไม่สมบูรณ์

ในช่วงสมัยของอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน (ปีที่ 224 ฮ.ศ. - 300 ฮ.ศ.) ได้มีการรวบรวมและบันทึกวิชาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยตาบิอีนและตาบิอฺ ตาบิอีน ทั้งยังได้คิดค้นหลักการวิจารย์ลักษณะของผู้รายงาน มีการคิดค้นหลักการวิเคราะห์ตัวบทหะดีษและตั้งชื่อว่า วิชาเศาะหฺหาหฺ อัลหะดีษ และวิชาการอธิบายศัพท์ทางหะดีษ เช่น เฆาะรีบอัลหะดีษ (غريب الحديث) เช่น มุฮัมมัด เบ็น สะอฺด (230 ฮ.ศ.) แต่งหนังสืออัฏเฏาะบะกอต (الطبقات) ยะหฺยา เบ็น มะอีน (234 ฮ.ศ.) แต่งหนังสือตาริค อัรริญาล (تاريخ الرجال) อะหฺมัด เบ็น หันบัล (241 ฮ.ศ.) แต่งหนังสืออิลาล อัลหะดีษ (علل الحديث) และหนังสืออันนาสิค วัลมันสูค (الناسخ والمنسوخ) อัลบุคอรีย์ (276 ฮ.ศ.) แต่งหนังสืออัตตาริค (التاريخ) นอกจากหนังสือดังกล่าวแล้วยังมีการแต่งหนังสือที่เกี่ยวกับหะดีษอีกหลายประเภท เช่น หนังสืออัศเศาะหีหฺ (الصحاح) หนังสืออัสสุนัน (السنن) หนังสืออัลมะสานีด (المسانيد) หนังสืออัลมะอาญิม (المعاجم) เป็นต้น

บรรดาอุละมาอ์ในช่วง 300 ปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชได้พยายามปกป้องหะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) อย่างสุดความสามารถและด้วยจิตวิญญาณอันแน่วแน่จนทำให้สามารถผลิตบุคลากรด้านหะดีษเป็นการเฉพาะ เช่น อุละมาอ์อัลญัรหฺ วัตตะอฺดีล อุละมาอ์รุวาต อัลหะดีษ อุละมาอ์อลาล อัลหะดีษ อุละมาอ์ตัครีจ อัลหะดีษ

หลังจากสามร้อยปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ในช่วงสมัยมุตัอัคคิรีนจะพบว่าบรรดาอุละมาอ์ได้ให้ความสำคัญต่อวิชาหะดีษโดยได้แยกจากวิชาเหล่านั้นออกเป็นแขนงวิชาหนึ่งของวิชาหะดีษ และตั้งชื่อวิชานี้ว่า วิชามุศเฏาะลาหฺ อัลหะดีษ อุละมาอ์ท่านแรกที่ได้คิดค้นหลักการมุศเฏาะลาหฺ ได้แก่อะบู อัลหะสัน เบ็น อับดุลเราะหฺมาน อัรรอมะฮุรมุซีย์ (360 ฮ.ศ.) ได้แต่งตำราชื่อ อัลมุหัดดิษ อัลฟาศิล บัยนฺ อัรรอวิย์ วัรรออีย์ (المحدث الفاصل بين الراوي والراعي) อิบนุ หัจญ์ร อัลอัสเกาะลานีย์ได้กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้เนื้อหายังไม่ครบถ้วนหลักการมุศเฏาะลาหฺ แต่หากเทียบกับหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่มีอยู่ในสมัยนั้น หนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาที่ดีกว่า บรรดาอุละมาอ์ที่มาหลังจากอิมามอัรรอมะฮุรมุซีย์ได้พยายามเพิ่มเติมเนื้อหาของวิชามุศเฏาะลาหฺให้ครบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น อิมามอัลหากิม (405 ฮ.ศ.) แต่งหนังสือชื่อ มะอฺริฟะฮฺ อุลูม อัลหะดีษ (معرفة علوم الحديث) อิมามอะบูนุอัยม อะห์มัด เบ็น อัลดถลเลาะ (430 ฮ.ศ.) แต่งสืออัลมุสตัคร๊อจญ์ (المستدرج) อิมามอะหฺมัด เบ็น อะลี อัลเคาะฏีบอัลบัฆดาดีย์ (463 ฮฺ.ศ.) แต่งหนังสืออัลกิฟายะฮฺ ฟี อิลม อัลหะดีษ (الكفاية في علم الرواية) อัลกอฎีย์อิยาฎ เบ็น มูซา อัลยะหฺศิบีย์ (544 ฮ.ศ.) แต่งหนังสืออัลอลมาอฺ ฟี ฎอบฺ อัรริวายะฮฺ วะตัคยีด อัสมาอ์ (الإلماع في ضبط الرواية وتقييد الأسماع) อะบู หัฟศฺ อุมัร เบ็น อับดุลมะญีด (580 ฮฺ.ศ.) แต่งหนังสือมาลา ยะสะดุ อัลมุหัดดิษ ญะฮฺลุ (ما لا يسع المحمدثى جهله) วิชาการด้านอุลูม อัลหะดีอุลูม อัลหะดีษไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นแต่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาทำให้แตกแขนงวิชาใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับ หะดีษอีกหลาย เช่น วิชาตัคริจญ์หะดีษ (تخريج الحديث) วิชาอัดดิฟาอฺ อัน อัสสุนนะฮฺ (الدفاع عن السنة) วิชาอัลวัฏอฺ ฟี อัลหะดีษ (الوضع في الحديث) เป็นต้น